การบริจาค เลือด เป็นการช่วยชีวิตผู้อื่นที่มีคุณค่ามาก เพราะเลือดที่เราบริจาคสามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วยที่ต้องการเลือดในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือผู้ป่วยโรคเลือด อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริจาคเลือดปลอดภัยทั้งต่อผู้บริจาคและผู้รับเลือด ผู้บริจาคจำเป็นต้องมีสุขภาพที่เหมาะสมและปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขภาพที่กำหนดไว้
เหตุผลที่ต้องมีข้อกำหนดด้านสุขภาพ
- เพื่อความปลอดภัยของผู้บริจาค: ป้องกันไม่ให้การบริจาคเลือดส่งผลเสียต่อร่างกาย
- เพื่อความปลอดภัยของผู้รับเลือด: เลือดที่บริจาคต้องปลอดจากเชื้อโรคหรือสารที่อาจก่ออันตราย
- เพื่อให้ได้เลือดคุณภาพดี: เลือดที่มีคุณภาพช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาและลดภาวะแทรกซ้อน
ข้อกำหนดด้านสุขภาพทั่วไปก่อนบริจาคเลือด
1. อายุ
- ผู้บริจาคต้องมีอายุ ระหว่าง 17–70 ปี
- หากอายุต่ำกว่า 18 ปีต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง
2. น้ำหนักตัว
- น้ำหนักตัว ไม่น้อยกว่า 45 กิโลกรัม
- น้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์อาจเสี่ยงต่อการเวียนศีรษะหรือหน้ามืดหลังบริจาค
3. สุขภาพโดยรวม
- ต้องมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีอาการป่วยในวันที่บริจาค
- ไม่มีไข้ ไอ เจ็บคอ หรืออาการติดเชื้ออื่น ๆ
4. ระดับความดันโลหิต
- ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ต่ำเกินไปหรือสูงเกินไป
- ปกติควรอยู่ระหว่าง 90/60 – 160/100 มม.ปรอท
5. ระดับฮีโมโกลบิน
- ฮีโมโกลบินต้องอยู่ในระดับเหมาะสม (ผู้ชาย ≥ 13.0 g/dL, ผู้หญิง ≥ 12.5 g/dL) เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจาง
การเตรียมตัวด้านสุขภาพก่อนบริจาคเลือด
1. พักผ่อนให้เพียงพอ
- นอนหลับอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง ในคืนก่อนบริจาค
2. รับประทานอาหาร
- ควรรับประทานอาหารก่อนบริจาคประมาณ 3–4 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัด หรืออาหารที่มีคาเฟอีนสูง
3. ดื่มน้ำมากพอ
- ดื่มน้ำ 1–2 แก้วก่อนบริจาค เพื่อช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ
4. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค
- งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
โรคหรือภาวะที่ไม่สามารถบริจาคเลือดได้ชั่วคราว
- ไข้หวัดหรือการติดเชื้อใด ๆ ควรรอให้หายก่อน
- เพิ่งเข้ารับการผ่าตัด ควรเว้นตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
- หลังจากได้รับวัคซีนบางชนิด เช่น วัคซีนป้องกันโรคหัด ควรรออย่างน้อย 4 สัปดาห์
- หลังถอนฟันหรือทำฟัน ควรรออย่างน้อย 7 วัน
โรคหรือภาวะที่ไม่สามารถบริจาคเลือดได้ถาวร
- โรคติดเชื้อร้ายแรง เช่น เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบีและซี
- โรคหัวใจรุนแรงหรือโรคเรื้อรังที่กระทบการทำงานของร่างกาย
- ภาวะโลหิตจางเรื้อรัง
- เคยใช้สารเสพติดชนิดฉีด
การตรวจร่างกายก่อนบริจาคเลือด
ก่อนบริจาคเลือด เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจคัดกรองเพื่อให้แน่ใจว่าผู้บริจาคมีคุณสมบัติเหมาะสม
- ชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง
- วัดความดันโลหิต
- ตรวจระดับฮีโมโกลบิน
- ซักประวัติสุขภาพ เพื่อคัดกรองโรคติดต่อและพฤติกรรมเสี่ยง
สิ่งที่ควรทำหลังบริจาคเลือด
- นั่งพักอย่างน้อย 10–15 นาที
- ดื่มน้ำมาก ๆ ใน 24 ชั่วโมงหลังบริจาค
- รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ ไข่แดง ผักใบเขียว
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักใน 24 ชั่วโมงแรก
- หากมีอาการเวียนศีรษะ ให้หยุดกิจกรรมและนั่งพักทันที
ความถี่ในการบริจาคเลือด
- ผู้ชาย สามารถบริจาคเลือดได้ทุก 12 สัปดาห์ (ประมาณ 4 ครั้งต่อปี)
- ผู้หญิง สามารถบริจาคเลือดได้ทุก 16 สัปดาห์ (ประมาณ 3 ครั้งต่อปี)
คำแนะนำเชิงลึกสำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคเลือด
การเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือดไม่เพียงเกี่ยวข้องกับสุขภาพในวันบริจาคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ร่างกายพร้อมและฟื้นตัวได้เร็วหลังบริจาค
1. การดูแลสุขภาพระยะยาว
- รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงอย่างสม่ำเสมอ เช่น เนื้อแดง ตับ ไข่แดง ธัญพืช และผักใบเขียว
- ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- ดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวันเพื่อรักษาสมดุลของปริมาณเลือดในร่างกาย
2. การติดตามสุขภาพเป็นประจำ
- ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจหาภาวะหรือโรคที่อาจเป็นข้อห้ามในการบริจาคเลือด
- ตรวจระดับฮีโมโกลบินเป็นระยะ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีประจำเดือน
3. การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันกับคู่ที่ไม่ทราบประวัติสุขภาพ
- งดใช้สารเสพติดทุกชนิด
Checklist การเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือด
รายการ | สถานะ (✓/✗) |
---|---|
อายุอยู่ระหว่าง 17–70 ปี | |
น้ำหนัก ≥ 45 กิโลกรัม | |
ไม่มีอาการเจ็บป่วยในวันบริจาค | |
นอนหลับเพียงพอ (6–8 ชั่วโมง) | |
รับประทานอาหารแล้ว 3–4 ชั่วโมงก่อนบริจาค | |
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค | |
ไม่สูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคอย่างน้อย 1 ชั่วโมง | |
ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ | |
ระดับฮีโมโกลบินอยู่ในเกณฑ์ | |
ไม่มีโรคต้องห้ามหรือพฤติกรรมเสี่ยง |
ข้อควรระวังพิเศษสำหรับกลุ่มเฉพาะ
- ผู้หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: ห้ามบริจาคเลือดจนกว่าจะพ้นช่วงให้นมบุตรอย่างน้อย 6 เดือน
- ผู้ที่เพิ่งเดินทางไปพื้นที่เสี่ยงโรคมาลาเรีย: ต้องรออย่างน้อย 1 ปี
- ผู้ที่เพิ่งสักหรือเจาะร่างกาย: ต้องรออย่างน้อย 6 เดือน
- ผู้ที่เพิ่งรับวัคซีนบางชนิด: ควรสอบถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับระยะเวลารอ
ประโยชน์ของการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขภาพก่อนบริจาคเลือด
- เพิ่มความปลอดภัยของผู้บริจาค – ลดความเสี่ยงต่อการเป็นลมหรือเวียนศีรษะ
- รับประกันคุณภาพเลือด – ช่วยให้ผู้รับได้รับเลือดที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูง
- สร้างความมั่นใจ – ทั้งผู้บริจาคและเจ้าหน้าที่สามารถทำกระบวนการบริจาคได้อย่างสบายใจ
- ส่งเสริมสุขภาพตนเอง – การตรวจสุขภาพก่อนบริจาคช่วยให้ผู้บริจาครู้สถานะสุขภาพของตน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับข้อกำหนดด้านสุขภาพก่อนการบริจาคเลือด
1. ถ้ามีโรคประจำตัวสามารถบริจาคเลือดได้หรือไม่?
ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและความรุนแรง เช่น โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้อาจบริจาคได้ แต่โรคหัวใจบางชนิดหรือโรคติดเชื้อเรื้อรังจะเป็นข้อห้าม ควรปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ก่อนทุกครั้ง
2. ถ้าทานยาสามารถบริจาคเลือดได้ไหม?
บางชนิดยาสามารถบริจาคได้ แต่บางชนิดต้องรอให้ครบระยะเวลาหลังหยุดยา เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิดต้องรออย่างน้อย 1 สัปดาห์
3. หลังดื่มกาแฟหรือชา สามารถบริจาคเลือดได้หรือไม่?
สามารถทำได้ แต่ควรดื่มน้ำเปล่าเพิ่มเติมเพื่อลดภาวะขาดน้ำ เนื่องจากคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
4. ทำไมต้องตรวจฮีโมโกลบินก่อนบริจาคเลือด?
เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางในผู้บริจาค และเพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับเลือดจะได้รับเลือดที่มีคุณภาพสูง
การดูแลร่างกายหลังบริจาคเลือด
แม้การเตรียมตัวก่อนบริจาคจะสำคัญ แต่การดูแลร่างกายหลังบริจาคก็มีความสำคัญเช่นกัน
1. การพักผ่อน
- นั่งพักในบริเวณที่จัดไว้ประมาณ 10–15 นาที เพื่อป้องกันอาการหน้ามืดหรือเป็นลม
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักใน 24 ชั่วโมงแรก
2. การดื่มน้ำและรับประทานอาหาร
- ดื่มน้ำเพิ่มขึ้นจากปกติ 1–2 แก้วทันทีหลังบริจาค
- รับประทานอาหารที่มีโปรตีนและธาตุเหล็กสูง เช่น ไข่ เนื้อแดง หรือผักใบเขียว
3. การดูแลบริเวณที่เจาะเลือด
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักด้วยแขนข้างที่เจาะเลือดใน 6 ชั่วโมงแรก
- หากมีรอยช้ำให้ประคบเย็นในวันแรก แล้วจึงประคบอุ่นในวันถัดมา
ความสำคัญของการเว้นระยะระหว่างการบริจาค
การบริจาคเลือดมีการกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำเพื่อให้ร่างกายมีเวลาสร้างเลือดใหม่
- เลือดทั้ง 350–450 มิลลิลิตร: เว้นอย่างน้อย 12 สัปดาห์ (ประมาณ 3 เดือน)
- เกล็ดเลือด: เว้นอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- พลาสมา: เว้นอย่างน้อย 2 สัปดาห์
การเว้นระยะตามคำแนะนำนี้จะช่วยให้สุขภาพของผู้บริจาคไม่ถูกรบกวนและสามารถบริจาคได้อย่างต่อเนื่อง
การบริจาคเลือดอย่างยั่งยืน
เพื่อให้การบริจาคเลือดเป็นสิ่งที่ทำได้ในระยะยาว ควรปฏิบัติตามแนวทางดังนี้
- รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรงอยู่เสมอ
- กำหนดแผนการบริจาคเลือดล่วงหน้า และเตรียมตัวก่อนวันบริจาค
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้ถูกปฏิเสธการบริจาค
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อประเมินความพร้อมของร่างกาย
บทสรุป
การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขภาพก่อนการบริจาคเลือดไม่เพียงช่วยให้ผู้บริจาคมีความปลอดภัย แต่ยังเป็นการรับประกันว่าผู้รับเลือดจะได้รับเลือดที่มีคุณภาพสูงและปราศจากความเสี่ยง การเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังบริจาค รวมถึงการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน จะทำให้เราสามารถบริจาคเลือดได้อย่างสม่ำเสมอและยั่งยืน