สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง อิสราเอล และอิหร่านได้เข้าสู่จุดวิกฤติครั้งใหม่ในเดือนมิถุนายน 2025 หลังจากที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศอย่างหนักในหลายพื้นที่ของอิหร่าน โดยเฉพาะสถานที่ต้องสงสัยว่าเป็นโรงงานนิวเคลียร์และฐานทัพสำคัญของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (IRGC) การปฏิบัติการทางทหารในครั้งนี้นับเป็นการยกระดับความขัดแย้งครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายปี
จุดเริ่มต้นของการปะทะ
ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศมีมาอย่างยาวนาน จากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ การเมือง และการแข่งขันด้านอำนาจในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ล่าสุดเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีรายงานว่าอิหร่านได้เพิ่มขีดความสามารถในการเสริมสมรรถภาพยูเรเนียม ซึ่งเป็นที่น่าวิตกของอิสราเอลและพันธมิตรตะวันตก อิสราเอลกล่าวหาว่าอิหร่านกำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และตอบโต้ด้วยการโจมตีเป้าหมายสำคัญ
การตอบโต้ของอิหร่าน
ภายหลังการโจมตีของอิสราเอล อิหร่านได้ตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธและโดรนโจมตีกลับมายังพื้นที่ทางเหนือของอิสราเอล มีรายงานว่าขีปนาวุธบางลูกมีลักษณะเป็นขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานและทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
ผลกระทบต่อประชาชนและภูมิภาค

ประชาชนทั้งในอิหร่านและอิสราเอลได้รับผลกระทบโดยตรง หลายพันคนต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง โรงพยาบาลรับผู้บาดเจ็บล้นเกิน และระบบสาธารณูปโภคในบางเมืองถูกตัดขาด ความไม่มั่นคงในภูมิภาคทำให้ประเทศเพื่อนบ้านต่างเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ขณะที่หลายชาติในยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้ออกคำเตือนประชาชนของตนให้อพยพออกจากพื้นที่
ปฏิกิริยาจากนานาชาติ
องค์การสหประชาชาติและกลุ่มประเทศมหาอำนาจได้เรียกร้องให้อิสราเอลและอิหร่านยุติการใช้ความรุนแรงโดยทันที พร้อมเสนอให้มีการเจรจาผ่านช่องทางการทูต อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีสัญญาณว่าทั้งสองฝ่ายจะยอมถอยหรือหาทางออกอย่างสันติ
ความกังวลเรื่องขยายวงความขัดแย้ง
นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า หากสถานการณ์ยังคงทวีความรุนแรง อาจลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งในระดับภูมิภาค และส่งผลต่อความมั่นคงของตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดน้ำมันและพลังงาน ซึ่งเริ่มแสดงปฏิกิริยาด้วยราคาที่ผันผวนขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
มุมมองเชิงยุทธศาสตร์: ทำไมอิสราเอลและอิหร่านไม่ยอมถอย
อิสราเอลมองว่าอิหร่านเป็นภัยคุกคามที่มีอยู่จริง โดยเฉพาะจากโครงการนิวเคลียร์และการสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธ เช่น ฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และฮามาสในฉนวนกาซา ในขณะที่อิหร่านมองว่าอิสราเอลและพันธมิตรตะวันตกเป็นผู้รุกรานที่พยายามแทรกแซงอธิปไตยและบ่อนทำลายเสถียรภาพของภูมิภาค
ทั้งสองประเทศจึงไม่เต็มใจที่จะยอมอ่อนข้อ ด้วยเหตุผลที่ฝังลึกทั้งในด้านความมั่นคง อุดมการณ์ และภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่ไว้ใจกันระหว่างสองฝ่ายส่งผลให้กลไกการสื่อสารหรือการเจรจาเป็นไปอย่างยากลำบาก และสถานการณ์ที่ตึงเครียดสามารถทวีความรุนแรงได้ตลอดเวลา
ความเป็นไปได้ของสงครามเต็มรูปแบบ
นักวิเคราะห์จากหลายสถาบันเตือนว่า หากไม่มีมาตรการยับยั้งหรือแรงกดดันจากนานาชาติที่เพียงพอ ความขัดแย้งครั้งนี้อาจลุกลามจนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสองประเทศเท่านั้น แต่ยังสามารถดึงประเทศอื่น ๆ เข้าร่วมในความขัดแย้ง เช่น สหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย และประเทศพันธมิตรในยุโรป
นอกจากนี้ การโจมตีจากอากาศหรือขีปนาวุธที่อาจพลาดเป้าหมายและก่อให้เกิดความเสียหายแก่พลเรือนอย่างรุนแรง จะเป็นปัจจัยที่เร่งเร้าให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างประเทศ และนำไปสู่การตัดสินใจใช้กำลังที่กว้างขึ้น
บทบาทของประเทศมหาอำนาจ
ในสถานการณ์ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาอยู่ในสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้จะเป็นพันธมิตรของอิสราเอล แต่รัฐบาลวอชิงตันก็ไม่ต้องการให้ความขัดแย้งลุกลามจนกระทบต่อเสถียรภาพของภูมิภาคและราคาพลังงานโลก ขณะที่จีนและรัสเซียซึ่งมีผลประโยชน์ในอิหร่าน ก็พยายามใช้นโยบายถ่วงดุลเพื่อไม่ให้สถานการณ์กลายเป็นชนวนของความตึงเครียดระดับโลก
ทางออกในระยะสั้นและระยะยาว
ระยะสั้น: จำเป็นต้องมีการหยุดยิงโดยทันที พร้อมตั้งโต๊ะเจรจาผ่านสหประชาชาติหรือกลุ่มประเทศกลาง เช่น ตุรกี หรือกาตาร์ เพื่อเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ย
ระยะยาว: ต้องมีกลไกระหว่างประเทศที่ยั่งยืนในการตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และความมั่นใจในความปลอดภัยของอิสราเอล ตลอดจนข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ลดแรงจูงใจในการเผชิญหน้า
ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ: ราคาน้ำมันและตลาดโลกผันผวน
หนึ่งในผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากความขัดแย้งอิสราเอล–อิหร่าน คือความผันผวนในตลาดพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นทันทีหลังจากเริ่มเกิดการโจมตี ข้อมูลจากตลาดโลกแสดงให้เห็นว่าราคาน้ำมันเบรนท์เพิ่มขึ้นเกิน 5% ภายในไม่กี่วัน เนื่องจากความกังวลว่าเส้นทางขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางอาจถูกรบกวนหรือถูกปิดล้อม
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนในภูมิภาคยังส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก นักลงทุนมีแนวโน้มลดความเสี่ยงด้วยการขายสินทรัพย์เสี่ยงและย้ายไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและพันธบัตรรัฐบาล การลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนก็กลับมาได้รับความสนใจในฐานะทางเลือกระยะยาว เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงจากภูมิภาคที่ไม่มั่นคง
ผลกระทบด้านมนุษยธรรม
ผลกระทบทางมนุษยธรรมจากความขัดแย้งก็ทวีความรุนแรงตามไปด้วย ในอิหร่าน มีรายงานว่าพื้นที่บางแห่งขาดแคลนไฟฟ้าและน้ำประปา เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหายจากการโจมตีทางอากาศ ขณะที่ในอิสราเอล ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือหลายพันคนอพยพหนีจากแนวปะทะ และศูนย์พักพิงต้องรับภาระหนัก
องค์การระหว่างประเทศ เช่น สภากาชาดและ UNHCR เริ่มส่งทีมเข้าพื้นที่ชายแดนเพื่อเตรียมการช่วยเหลือฉุกเฉิน พร้อมทั้งร้องขอให้ทั้งสองฝ่ายเปิด “ช่องทางมนุษยธรรม” เพื่อให้สามารถขนส่งยา อาหาร และเวชภัณฑ์ได้อย่างปลอดภัย
บทเรียนจากวิกฤติ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่านครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคที่การแข่งขันด้านเทคโนโลยี ทรัพยากร และอำนาจภูมิรัฐศาสตร์กำลังทวีความรุนแรง การละเลยความพยายามทางการทูต หรือการใช้กำลังอย่างไม่จำเป็น อาจนำไปสู่การจุดชนวนสงครามที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ซ้ำรอยในอนาคต ประชาคมโลกควรดำเนินการในประเด็นต่อไปนี้:
- จัดตั้งกลไกเฝ้าระวังระยะยาว สำหรับกิจกรรมด้านนิวเคลียร์ที่โปร่งใสและยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย
- สนับสนุนการเจรจาแบบพหุภาคี โดยดึงผู้มีบทบาทในภูมิภาคเข้ามาเป็นคนกลาง
- เสริมสร้างบทบาทองค์กรระหว่างประเทศ ให้สามารถมีอำนาจมากขึ้นในการบังคับใช้ข้อตกลงด้านสันติภาพ
- พัฒนาช่องทางมนุษยธรรมที่ยั่งยืน สำหรับการเข้าถึงผู้ประสบภัยในพื้นที่ขัดแย้ง
บทบาทของอาเซียนและประเทศไทยในวิกฤติอิสราเอล–อิหร่าน
แม้ว่าอาเซียนจะอยู่ห่างไกลจากตะวันออกกลางในทางภูมิศาสตร์ แต่ผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านสามารถสะท้อนไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความมั่นคงทางพลังงาน
ประเทศไทย ซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลาง ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง และหันมาเจรจาเพื่อหาทางออกโดยสันติ ขณะเดียวกัน มีการเตรียมความพร้อมในระดับประเทศเพื่อรับมือกับผลกระทบจากราคาพลังงานที่ผันผวน เช่น การสำรองน้ำมัน และการเร่งส่งเสริมพลังงานทดแทนในประเทศ
สำหรับ อาเซียน ในภาพรวม บทบาทหลักยังอยู่ที่การแสดงจุดยืนทางการทูต สนับสนุนหลักการสันติภาพและการแก้ไขปัญหาผ่านกลไกขององค์การสหประชาชาติ แม้จะไม่มีอิทธิพลโดยตรงต่อคู่ขัดแย้ง แต่ก็สามารถเป็น “เสียงกลาง” ที่สนับสนุนความพยายามระดับนานาชาติในการคลี่คลายสถานการณ์
ความกังวลด้านความมั่นคงไซเบอร์
อีกหนึ่งประเด็นที่เริ่มเป็นที่พูดถึงคือ ภัยคุกคามด้านไซเบอร์ ระหว่างสองประเทศ ทั้งอิหร่านและอิสราเอลต่างมีประวัติในการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ของกันและกันในอดีต เช่น การโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านด้วยไวรัส Stuxnet เมื่อหลายปีก่อน
การยกระดับความขัดแย้งในครั้งนี้จึงอาจหมายถึงความเสี่ยงที่การโจมตีจะขยายไปสู่ภาคพลังงาน ธนาคาร และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่เกี่ยวข้องโดยทางอ้อม ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทยจำเป็นต้องเสริมระบบป้องกันไซเบอร์อย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันผลกระทบลูกโซ่ที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามไซเบอร์ระดับรัฐ
แนวโน้มในอนาคต: สงครามยืดเยื้อหรือจุดเปลี่ยนแห่งสันติ?
สถานการณ์ปัจจุบันมีสองแนวโน้มหลักที่เป็นไปได้:
- ความขัดแย้งยืดเยื้อในระดับต่ำ (Low-intensity conflict) ที่เกิดการโจมตีตอบโต้แบบจำกัด แต่ต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพระยะยาวในตะวันออกกลาง
- การเจรจาหลังความสูญเสีย หากการสู้รบลุกลามจนเกิดความเสียหายรุนแรงต่อชีวิตและเศรษฐกิจ ก็อาจเป็นแรงกดดันให้นานาชาติเข้ามากำหนดกรอบเจรจาอย่างจริงจัง
ในทุกกรณี ความขัดแย้งนี้สะท้อนว่า โลกยังต้องการระบบความร่วมมือที่เข้มแข็งกว่านี้เพื่อป้องกันและจัดการความรุนแรงทางการเมืองระหว่างประเทศ
ผลกระทบต่อเสถียรภาพโลก: จุดเปลี่ยนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่น่าจับตามอง
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในปี 2025 มิได้ส่งผลกระทบเฉพาะต่อภูมิภาคตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ยังกลายเป็น “บททดสอบใหญ่” ของเสถียรภาพในระบบระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในบริบทที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ภาวะโลกร้อน ความเหลื่อมล้ำ และความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจหลังโควิด-19
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเปลี่ยนดุลอำนาจในภูมิภาค:
- หากอิหร่านสามารถต้านทานการโจมตีของอิสราเอลได้สำเร็จ อิทธิพลของอิหร่านในกลุ่มประเทศมุสลิมและพันธมิตรต่อต้านตะวันตกอาจเพิ่มสูงขึ้น
- ในทางกลับกัน หากอิสราเอลสามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ อิสราเอลจะกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นในภูมิภาค แต่ก็อาจเผชิญกับแรงต่อต้านจากกลุ่มประเทศอาหรับ
ความเชื่อมั่นต่อระเบียบโลกเสรี (Liberal World Order)
สถานการณ์นี้ยังสะท้อนวิกฤตความเชื่อมั่นต่อระบบความมั่นคงระหว่างประเทศที่นำโดยสหประชาชาติและชาติตะวันตก การที่โลกยังไม่สามารถหยุดยั้งการใช้ความรุนแรงระหว่างรัฐได้แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างการรักษาสันติภาพโลกในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดทั้งในเชิงประสิทธิภาพและอำนาจต่อรอง
นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเริ่มตั้งคำถามว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ระเบียบโลกใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วย “การแข่งขันเชิงมหาอำนาจ” มากกว่า “ความร่วมมือเชิงพหุภาคี” หรือไม่
ความหวังและหนทางสู่สันติภาพ
แม้สถานการณ์จะดูมืดมน แต่ยังมีสัญญาณแห่งความหวังจากการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมและกลุ่มสันติภาพในหลายประเทศ ซึ่งออกมาเรียกร้องให้มีการเจรจาและลดความรุนแรงโดยไม่แบ่งฝ่ายหรือเชื้อชาติ
ความขัดแย้งในครั้งนี้อาจกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ผลักดันให้เกิดการปฏิรูประบบระหว่างประเทศ ให้สามารถจัดการกับความขัดแย้งเชิงโครงสร้างได้จริง มากกว่าจะเป็นเพียงเวทีแถลงการณ์และการประณาม
สรุป
- ความขัดแย้งอิสราเอล–อิหร่านในปี 2025 เป็นมากกว่าการเผชิญหน้าเชิงทหาร แต่เป็นภาพสะท้อนของระบบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
- ผลกระทบกระจายไปทั่วโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจ มนุษยธรรม ความมั่นคง และพลังงาน
- การแก้ไขปัญหานี้ไม่สามารถอาศัยแค่การทูตแบบเดิมได้อีกต่อไป แต่ต้องอาศัยการประสานงานของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ ภาคประชาชน และองค์กรระหว่างประเทศ
ความขัดแย้งอิสราเอล–อิหร่าน: บทเรียนสำหรับอนาคตของความมั่นคงระหว่างประเทศ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2025 ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ได้ทิ้งบทเรียนสำคัญไว้หลายประการต่อแนวทางการรักษาสันติภาพและการป้องกันความขัดแย้งในระดับโลก โดยเฉพาะในยุคที่ความไม่ไว้วางใจ ความกลัวภัยคุกคาม และการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์กำลังกลายเป็นเรื่องปกติในภูมิรัฐศาสตร์สมัยใหม่
บทเรียนหลักจากความขัดแย้ง
1. การป้องปรามด้วยกำลังเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างความมั่นคง
ความเชื่อที่ว่าการสะสมอาวุธ การคุกคามทางทหาร หรือการโจมตีก่อนจะสามารถสร้างสันติภาพได้นั้นเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด ความรุนแรงในครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าการใช้กำลังไม่เพียงทำลายโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังส่งผลระยะยาวต่อความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศ
2. การทูตต้องมาก่อนวิกฤต ไม่ใช่หลังจากมันเริ่มขึ้น อิสราเอล
การเจรจาไม่ควรเกิดขึ้นเมื่อเกิดสงครามแล้ว แต่ต้องเป็นกระบวนการที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามจนยากควบคุม การที่กลไกทางการทูตในภูมิภาคนี้อ่อนแอ ทำให้ไม่มีช่องทางสื่อสารหรือความไว้ใจที่เพียงพอระหว่างสองฝ่าย
3. บทบาทของภาคประชาชนมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ในหลายประเทศ ประชาชนออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลของตนไม่สนับสนุนการทำสงคราม และเรียกร้องให้สื่อรายงานข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง สิ่งนี้สะท้อนว่า ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอาจเกิดขึ้นได้จากแรงกดดันจากประชาชน หากได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและมีช่องทางในการแสดงออกอย่างเสรี
4. ระบบโลกต้องยืดหยุ่นและมีความเป็นธรรมมากขึ้น
เหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูประบบระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ หรือ IMF ให้สามารถตอบสนองต่อวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว เป็นธรรม และไม่ตกอยู่ในอิทธิพลของมหาอำนาจเพียงไม่กี่ประเทศ
เส้นทางข้างหน้า: ทางเลือกที่โลกต้องตัดสินใจ
- จะเลือกใช้กำลังเพื่อจัดการความขัดแย้งต่อไป หรือจะลงทุนในระบบที่สร้างความร่วมมือและป้องกันล่วงหน้า
- จะสร้างระบบนิวเคลียร์ระหว่างประเทศที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ หรือจะปล่อยให้การแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์นำไปสู่การสูญเสียครั้งใหญ่
- จะปล่อยให้ประชาคมโลกถูกแบ่งแยกด้วยภูมิรัฐศาสตร์ หรือจะร่วมมือกันเพื่อจัดการกับภัยคุกคามร่วม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความยากจน และโรคระบาด
สุดท้าย: สันติภาพไม่ใช่ผลลัพธ์ แต่เป็นกระบวนการ
“สงครามเกิดขึ้นเมื่อการเจรจาสิ้นสุดลง และสันติภาพจะเกิดขึ้นเมื่อเรากล้าที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านไม่ใช่เพียงปัญหาของตะวันออกกลาง แต่เป็นสัญญาณเตือนสำหรับโลกทั้งใบ ว่าเราต้องการกลไกใหม่ วิธีคิดใหม่ และความกล้าหาญทางการเมืองในระดับที่สูงกว่าที่เราเคยมี เพื่อรักษาสันติภาพและป้องกันหายนะในอนาคต