Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    chiangraifirepump
    • Home
    • ความบันเทิง
    • ข่าวสารล่าสุด
    chiangraifirepump
    สุขภาพ

    ผลข้างเคียงร้ายแรงจากการใช้ ยา แก้ปวดเกินขนาด

    Walter TurnerBy Walter TurnerAugust 25, 2025No Comments2 Mins Read

    ยาแก้ปวดเป็นหนึ่งในกลุ่ม ยา ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ไม่ว่าจะเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อาการอักเสบ ไปจนถึงการจัดการกับความเจ็บปวดเรื้อรังหรือหลังการผ่าตัด แม้ว่ายาแก้ปวดจะมีประโยชน์มหาศาลในการช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น แต่หากใช้เกินขนาดหรือใช้อย่างไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงต่อร่างกาย ซึ่งบางครั้งอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

    บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับประเภทของยาแก้ปวดที่พบบ่อย กลไกการทำงาน ผลข้างเคียงจากการใช้เกินขนาด และแนวทางการป้องกันการเกิดอันตราย


    ประเภทของยาแก้ปวด

    ยาแก้ปวดแบ่งออกได้หลายกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีข้อดีและความเสี่ยงแตกต่างกัน

    1. ยากลุ่มพาราเซตามอล (Paracetamol/Acetaminophen)
      ใช้บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง และลดไข้ หากใช้ในขนาดที่แนะนำถือว่าค่อนข้างปลอดภัย แต่การใช้เกินขนาดอาจทำให้ตับวายเฉียบพลัน
    2. ยากลุ่มเอ็นเสดส์ (NSAIDs – Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs)
      เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), ไดโคลฟีแนก (Diclofenac) มีฤทธิ์ลดปวด ลดไข้ และต้านการอักเสบ แต่หากใช้มากเกินไปอาจทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะอาหาร ไตวาย หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด
    3. ยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioids)
      เช่น มอร์ฟีน (Morphine), โคเดอีน (Codeine), ออกซีโคโดน (Oxycodone) มีฤทธิ์ระงับปวดรุนแรง มักใช้ในผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ที่มีอาการปวดขั้นรุนแรง อย่างไรก็ตาม การใช้เกินขนาดอาจทำให้กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลต่อการหายใจ และอาจเสียชีวิตได้
    4. ยาแก้ปวดชนิดผสม (Combination Drugs)
      ยาบางชนิดอาจผสมพาราเซตามอลกับโอปิออยด์ เช่น โคเดอีนผสมพาราเซตามอล หากใช้ไม่ระมัดระวังจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดพิษทั้งจากตับและระบบประสาท

    ผลข้างเคียงร้ายแรงจากการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด

    การใช้ยาแก้ปวดเกินขนาดไม่เพียงแต่ทำให้เกิดผลข้างเคียงเฉียบพลัน แต่ยังส่งผลเสียต่ออวัยวะสำคัญในร่างกายอย่างถาวรได้

    1. ความเสียหายต่อตับ

    โดยเฉพาะจาก พาราเซตามอล หากรับประทานเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน (ในผู้ใหญ่ทั่วไป) อาจทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย ตับอักเสบเฉียบพลัน และถึงขั้นตับวาย จำเป็นต้องปลูกถ่ายตับหากไม่สามารถฟื้นฟูได้ทันเวลา

    2. ความเสียหายต่อไต

    ยาในกลุ่ม NSAIDs มีผลต่อการไหลเวียนเลือดที่ไต หากใช้ต่อเนื่องหรือเกินขนาดอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อไตเรื้อรังในระยะยาว

    3. ระบบทางเดินอาหาร

    NSAIDs สามารถกัดกร่อนเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ การใช้เกินขนาดเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เลือดออกในทางเดินอาหาร และอาจทำให้เสียชีวิตจากการตกเลือด

    4. ระบบหัวใจและหลอดเลือด

    มีการศึกษาพบว่าการใช้ NSAIDs บางชนิดในขนาดสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอยู่แล้ว

    5. ระบบประสาทและการหายใจ

    การใช้ โอปิออยด์เกินขนาด มีความเสี่ยงสูงต่อการกดการทำงานของสมองและระบบประสาท ผู้ป่วยอาจมีอาการง่วงซึม สับสน พูดไม่ชัด ชัก และในกรณีรุนแรงอาจหยุดหายใจทันที

    6. การเสพติดและการพึ่งพิงยา

    ยาแก้ปวดบางชนิด โดยเฉพาะโอปิออยด์ มีคุณสมบัติทำให้เกิดการพึ่งพิง เมื่อใช้บ่อย ๆ จะทำให้ร่างกายปรับตัวจนต้องการขนาดยามากขึ้นเพื่อให้ได้ผลเท่าเดิม การหยุดยาอย่างกะทันหันอาจทำให้เกิดอาการถอนยา เช่น เหงื่อออกมาก วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก และอารมณ์แปรปรวน


    อาการเตือนของการใช้ยาเกินขนาด

    การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ อาการที่ควรระวัง ได้แก่

    • คลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง
    • ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณชายโครงขวา (บ่งชี้ถึงตับ)
    • เวียนศีรษะ สับสน หรือหมดสติ
    • ปัสสาวะออกน้อยลง หรือมีสีเข้ม
    • หายใจช้าลง หายใจลำบาก หรือหยุดหายใจเป็นพัก ๆ
    • ชีพจรเต้นช้าหรือผิดปกติ

    หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที


    การป้องกันการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด

    1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือฉลากยาอย่างเคร่งครัด
      ห้ามเพิ่มขนาดยาเองหรือใช้ยาร่วมกับยาอื่นโดยไม่ได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
    2. ตรวจสอบส่วนประกอบของยา
      ยาบางชนิดเป็นยาผสม ควรตรวจสอบว่ามีส่วนประกอบของพาราเซตามอลหรือ NSAIDs อยู่หรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการรับยาเกินปริมาณโดยไม่รู้ตัว
    3. หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์ร่วมกับยาแก้ปวด
      การดื่มแอลกอฮอล์พร้อมกับพาราเซตามอลจะเพิ่มความเสี่ยงต่อตับอย่างมหาศาล
    4. เก็บยาให้พ้นมือเด็ก
      การกลืนกินยาโดยไม่ได้ตั้งใจในเด็กอาจทำให้เกิดพิษรุนแรงได้
    5. ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ในผู้ที่มีโรคประจำตัว
      เช่น ผู้ป่วยโรคตับ โรคไต โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาแก้ปวดทุกครั้ง

    แนวทางการรักษาผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด

    หากเกิดภาวะใช้ยาเกินขนาด การรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของยา เช่น

    • พาราเซตามอล: ใช้ยาต้านพิษ (Antidote) ที่ชื่อว่า N-acetylcysteine (NAC) เพื่อลดความเสียหายต่อตับ
    • NSAIDs: ให้การรักษาประคับประคอง เช่น การให้ยาลดกรด ยาป้องกันกระเพาะอาหาร และในกรณีรุนแรงอาจต้องฟอกไต

    ผลกระทบระยะยาวของการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด

    การใช้ยาแก้ปวดในปริมาณที่มากเกินไปไม่ได้เพียงสร้างผลเสียเฉียบพลัน แต่ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงระยะยาวที่ยากต่อการรักษา ดังนี้

    1. ความเสียหายของตับและไต

    • ยาพาราเซตามอล หากใช้ในปริมาณสูงต่อเนื่อง สามารถทำลายเซลล์ตับจนเกิด ตับวายเรื้อรัง
    • ยากลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน อาจส่งผลต่อไต ทำให้เกิดภาวะไตเสื่อมเรื้อรัง จนบางรายต้องเข้ารับการฟอกไต

    2. ความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด

    • การใช้ยากลุ่ม NSAIDs เกินขนาดบ่อยครั้ง อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง และเส้นเลือดอุดตัน
    • สำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจเดิมอยู่แล้ว ความเสี่ยงอาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน

    3. การเสพติดและภาวะพึ่งพิงยา

    • ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ เช่น มอร์ฟีน หรือโคเดอีน หากใช้ในปริมาณมากเกินไปจะทำให้สมองปรับตัวจนเกิดภาวะ เสพติดยา
    • ผู้ที่ติดยาแก้ปวดมักสูญเสียความสามารถในการควบคุมการใช้ยา และมีความเสี่ยงสูงต่อการใช้เกินขนาดซ้ำอีก

    4. ความเสียหายต่อระบบทางเดินอาหาร

    • ยาแก้ปวดบางชนิดทำให้เกิด แผลในกระเพาะอาหาร หรือ เลือดออกในทางเดินอาหาร เมื่อใช้ในปริมาณสูง
    • ภาวะนี้อาจไม่แสดงอาการในทันที แต่หากเกิดขึ้นเรื้อรังอาจทำให้ร่างกายเสียเลือดและสารอาหารอย่างต่อเนื่อง

    5. ปัญหาสุขภาพจิต

    • ผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด โดยเฉพาะในกลุ่มโอปิออยด์ อาจมีความผิดปกติด้านอารมณ์ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือเกิดภาวะอารมณ์แปรปรวน
    • ภาวะนี้อาจทำให้การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจยากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของการกลับมาใช้ยาซ้ำ

    การจัดการภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด

    1. การรักษาในโรงพยาบาล

    ผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดเกินขนาดควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันทีเพื่อควบคุมอาการ เช่น

    • ใช้ยาต้านพิษเฉพาะ (เช่น N-acetylcysteine สำหรับพิษจากพาราเซตามอล)
    • การล้างท้อง หรือให้สารดูดซับพิษในบางกรณี
    • การดูแลระบบหายใจ ความดันโลหิต และการทำงานของอวัยวะสำคัญ

    2. การฟื้นฟูทางกายภาพ

    • ในกรณีที่ตับหรือไตถูกทำลาย ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยการฟอกเลือดหรือแม้แต่การปลูกถ่ายอวัยวะ
    • การปรับโภชนาการและการติดตามค่าทางห้องปฏิบัติการเป็นสิ่งจำเป็น

    3. การฟื้นฟูด้านจิตใจ

    • สำหรับผู้ที่มีการเสพติด ต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูทางจิตใจ เช่น การทำจิตบำบัด หรือเข้าร่วมโปรแกรมเลิกยา
    • การสนับสนุนจากครอบครัวและสังคมช่วยลดโอกาสการกลับมาใช้ยาเกินขนาดซ้ำ

    4. การเฝ้าระวังระยะยาว

    • ผู้ที่เคยผ่านภาวะใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด ต้องได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อติดตามการทำงานของตับ ไต และหัวใจ
    • การติดตามนี้ช่วยให้แพทย์ตรวจพบความผิดปกติแต่เนิ่น ๆ และให้การรักษาได้ทันท่วงที
    กิจวัตรดูแล ผิว เช้าและเย็นเพื่อผิวสุขภาพดีและเปล่งประกาย ประสิทธิภาพของการฝึกหายใจและ โยคะ ในการจัดการอาการโรคหืด ผลข้างเคียงร้ายแรงจากการใช้ ยา แก้ปวดเกินขนาด สารอาหารสำคัญสำหรับระบบภูมิคุ้มกันของเด็กในช่วงฤดูที่เจ็บป่วยง่าย เมื่อใดควรพบแพทย์หากคุณมี อาการปวดท้อง
    Walter Turner

    Related Posts

    เคมบริดจ์: ล่องเรือ Punting ใน แม่น้ำ Cam และเสน่ห์ของวิทยาลัยเก่าแก่

    August 31, 2025

    วิธีป้องกัน การติดเชื้อ หลังจากนำเสี้ยนออกสำเร็จ

    August 29, 2025

    ระวังสัญญาณของ การติดเชื้อ ราในเต้านมและวิธีป้องกัน

    August 28, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.