ยาแก้ปวดเป็นหนึ่งในกลุ่ม ยา ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ไม่ว่าจะเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อาการอักเสบ ไปจนถึงการจัดการกับความเจ็บปวดเรื้อรังหรือหลังการผ่าตัด แม้ว่ายาแก้ปวดจะมีประโยชน์มหาศาลในการช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น แต่หากใช้เกินขนาดหรือใช้อย่างไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงต่อร่างกาย ซึ่งบางครั้งอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับประเภทของยาแก้ปวดที่พบบ่อย กลไกการทำงาน ผลข้างเคียงจากการใช้เกินขนาด และแนวทางการป้องกันการเกิดอันตราย
ประเภทของยาแก้ปวด
ยาแก้ปวดแบ่งออกได้หลายกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีข้อดีและความเสี่ยงแตกต่างกัน
- ยากลุ่มพาราเซตามอล (Paracetamol/Acetaminophen)
ใช้บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง และลดไข้ หากใช้ในขนาดที่แนะนำถือว่าค่อนข้างปลอดภัย แต่การใช้เกินขนาดอาจทำให้ตับวายเฉียบพลัน - ยากลุ่มเอ็นเสดส์ (NSAIDs – Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs)
เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), ไดโคลฟีแนก (Diclofenac) มีฤทธิ์ลดปวด ลดไข้ และต้านการอักเสบ แต่หากใช้มากเกินไปอาจทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะอาหาร ไตวาย หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด - ยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioids)
เช่น มอร์ฟีน (Morphine), โคเดอีน (Codeine), ออกซีโคโดน (Oxycodone) มีฤทธิ์ระงับปวดรุนแรง มักใช้ในผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ที่มีอาการปวดขั้นรุนแรง อย่างไรก็ตาม การใช้เกินขนาดอาจทำให้กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลต่อการหายใจ และอาจเสียชีวิตได้ - ยาแก้ปวดชนิดผสม (Combination Drugs)
ยาบางชนิดอาจผสมพาราเซตามอลกับโอปิออยด์ เช่น โคเดอีนผสมพาราเซตามอล หากใช้ไม่ระมัดระวังจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดพิษทั้งจากตับและระบบประสาท
ผลข้างเคียงร้ายแรงจากการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด
การใช้ยาแก้ปวดเกินขนาดไม่เพียงแต่ทำให้เกิดผลข้างเคียงเฉียบพลัน แต่ยังส่งผลเสียต่ออวัยวะสำคัญในร่างกายอย่างถาวรได้
1. ความเสียหายต่อตับ
โดยเฉพาะจาก พาราเซตามอล หากรับประทานเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน (ในผู้ใหญ่ทั่วไป) อาจทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย ตับอักเสบเฉียบพลัน และถึงขั้นตับวาย จำเป็นต้องปลูกถ่ายตับหากไม่สามารถฟื้นฟูได้ทันเวลา
2. ความเสียหายต่อไต
ยาในกลุ่ม NSAIDs มีผลต่อการไหลเวียนเลือดที่ไต หากใช้ต่อเนื่องหรือเกินขนาดอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อไตเรื้อรังในระยะยาว
3. ระบบทางเดินอาหาร
NSAIDs สามารถกัดกร่อนเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ การใช้เกินขนาดเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เลือดออกในทางเดินอาหาร และอาจทำให้เสียชีวิตจากการตกเลือด
4. ระบบหัวใจและหลอดเลือด
มีการศึกษาพบว่าการใช้ NSAIDs บางชนิดในขนาดสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอยู่แล้ว
5. ระบบประสาทและการหายใจ
การใช้ โอปิออยด์เกินขนาด มีความเสี่ยงสูงต่อการกดการทำงานของสมองและระบบประสาท ผู้ป่วยอาจมีอาการง่วงซึม สับสน พูดไม่ชัด ชัก และในกรณีรุนแรงอาจหยุดหายใจทันที
6. การเสพติดและการพึ่งพิงยา
ยาแก้ปวดบางชนิด โดยเฉพาะโอปิออยด์ มีคุณสมบัติทำให้เกิดการพึ่งพิง เมื่อใช้บ่อย ๆ จะทำให้ร่างกายปรับตัวจนต้องการขนาดยามากขึ้นเพื่อให้ได้ผลเท่าเดิม การหยุดยาอย่างกะทันหันอาจทำให้เกิดอาการถอนยา เช่น เหงื่อออกมาก วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก และอารมณ์แปรปรวน
อาการเตือนของการใช้ยาเกินขนาด
การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ อาการที่ควรระวัง ได้แก่
- คลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง
- ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณชายโครงขวา (บ่งชี้ถึงตับ)
- เวียนศีรษะ สับสน หรือหมดสติ
- ปัสสาวะออกน้อยลง หรือมีสีเข้ม
- หายใจช้าลง หายใจลำบาก หรือหยุดหายใจเป็นพัก ๆ
- ชีพจรเต้นช้าหรือผิดปกติ
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
การป้องกันการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือฉลากยาอย่างเคร่งครัด
ห้ามเพิ่มขนาดยาเองหรือใช้ยาร่วมกับยาอื่นโดยไม่ได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ - ตรวจสอบส่วนประกอบของยา
ยาบางชนิดเป็นยาผสม ควรตรวจสอบว่ามีส่วนประกอบของพาราเซตามอลหรือ NSAIDs อยู่หรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการรับยาเกินปริมาณโดยไม่รู้ตัว - หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์ร่วมกับยาแก้ปวด
การดื่มแอลกอฮอล์พร้อมกับพาราเซตามอลจะเพิ่มความเสี่ยงต่อตับอย่างมหาศาล - เก็บยาให้พ้นมือเด็ก
การกลืนกินยาโดยไม่ได้ตั้งใจในเด็กอาจทำให้เกิดพิษรุนแรงได้ - ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ในผู้ที่มีโรคประจำตัว
เช่น ผู้ป่วยโรคตับ โรคไต โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาแก้ปวดทุกครั้ง
แนวทางการรักษาผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด
หากเกิดภาวะใช้ยาเกินขนาด การรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของยา เช่น
- พาราเซตามอล: ใช้ยาต้านพิษ (Antidote) ที่ชื่อว่า N-acetylcysteine (NAC) เพื่อลดความเสียหายต่อตับ
- NSAIDs: ให้การรักษาประคับประคอง เช่น การให้ยาลดกรด ยาป้องกันกระเพาะอาหาร และในกรณีรุนแรงอาจต้องฟอกไต
ผลกระทบระยะยาวของการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด
การใช้ยาแก้ปวดในปริมาณที่มากเกินไปไม่ได้เพียงสร้างผลเสียเฉียบพลัน แต่ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงระยะยาวที่ยากต่อการรักษา ดังนี้
1. ความเสียหายของตับและไต
- ยาพาราเซตามอล หากใช้ในปริมาณสูงต่อเนื่อง สามารถทำลายเซลล์ตับจนเกิด ตับวายเรื้อรัง
- ยากลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน อาจส่งผลต่อไต ทำให้เกิดภาวะไตเสื่อมเรื้อรัง จนบางรายต้องเข้ารับการฟอกไต
2. ความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด
- การใช้ยากลุ่ม NSAIDs เกินขนาดบ่อยครั้ง อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง และเส้นเลือดอุดตัน
- สำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจเดิมอยู่แล้ว ความเสี่ยงอาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
3. การเสพติดและภาวะพึ่งพิงยา
- ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ เช่น มอร์ฟีน หรือโคเดอีน หากใช้ในปริมาณมากเกินไปจะทำให้สมองปรับตัวจนเกิดภาวะ เสพติดยา
- ผู้ที่ติดยาแก้ปวดมักสูญเสียความสามารถในการควบคุมการใช้ยา และมีความเสี่ยงสูงต่อการใช้เกินขนาดซ้ำอีก
4. ความเสียหายต่อระบบทางเดินอาหาร
- ยาแก้ปวดบางชนิดทำให้เกิด แผลในกระเพาะอาหาร หรือ เลือดออกในทางเดินอาหาร เมื่อใช้ในปริมาณสูง
- ภาวะนี้อาจไม่แสดงอาการในทันที แต่หากเกิดขึ้นเรื้อรังอาจทำให้ร่างกายเสียเลือดและสารอาหารอย่างต่อเนื่อง
5. ปัญหาสุขภาพจิต
- ผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด โดยเฉพาะในกลุ่มโอปิออยด์ อาจมีความผิดปกติด้านอารมณ์ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือเกิดภาวะอารมณ์แปรปรวน
- ภาวะนี้อาจทำให้การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจยากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของการกลับมาใช้ยาซ้ำ
การจัดการภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด
1. การรักษาในโรงพยาบาล
ผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดเกินขนาดควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันทีเพื่อควบคุมอาการ เช่น
- ใช้ยาต้านพิษเฉพาะ (เช่น N-acetylcysteine สำหรับพิษจากพาราเซตามอล)
- การล้างท้อง หรือให้สารดูดซับพิษในบางกรณี
- การดูแลระบบหายใจ ความดันโลหิต และการทำงานของอวัยวะสำคัญ
2. การฟื้นฟูทางกายภาพ
- ในกรณีที่ตับหรือไตถูกทำลาย ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยการฟอกเลือดหรือแม้แต่การปลูกถ่ายอวัยวะ
- การปรับโภชนาการและการติดตามค่าทางห้องปฏิบัติการเป็นสิ่งจำเป็น
3. การฟื้นฟูด้านจิตใจ
- สำหรับผู้ที่มีการเสพติด ต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูทางจิตใจ เช่น การทำจิตบำบัด หรือเข้าร่วมโปรแกรมเลิกยา
- การสนับสนุนจากครอบครัวและสังคมช่วยลดโอกาสการกลับมาใช้ยาเกินขนาดซ้ำ
4. การเฝ้าระวังระยะยาว
- ผู้ที่เคยผ่านภาวะใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด ต้องได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อติดตามการทำงานของตับ ไต และหัวใจ
- การติดตามนี้ช่วยให้แพทย์ตรวจพบความผิดปกติแต่เนิ่น ๆ และให้การรักษาได้ทันท่วงที