Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    chiangraifirepump
    • Home
    • ความบันเทิง
    • ข่าวสารล่าสุด
    • สุขภาพ
    • สูตรอาหาร
    chiangraifirepump
    สุขภาพ

    การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องเมื่อถูก งู กัดมีพิษ

    Walter TurnerBy Walter TurnerSeptember 13, 2025No Comments2 Mins Read

    การถูก งู กัดเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในชนบทและเมือง โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มีงูหลากหลายชนิด บางชนิดมีพิษที่ร้ายแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้องและทันท่วงที การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสามารถลดความรุนแรงของอาการ ชะลอการกระจายพิษ และเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยได้


    ความสำคัญของการปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด

    เมื่อพิษงูเข้าสู่ร่างกาย จะกระจายผ่านทางกระแสเลือดและระบบน้ำเหลืองไปทั่วร่างกาย ส่งผลต่อระบบประสาท ระบบเลือด และเนื้อเยื่อ อาการที่เกิดขึ้นอาจเริ่มจากอาการบวม ปวด หรือแดงเฉพาะที่ และพัฒนาไปสู่การหายใจลำบาก เลือดออกผิดปกติ หรือหมดสติได้ หากมีการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องในช่วงแรก จะสามารถยืดเวลาและช่วยให้แพทย์มีโอกาสรักษาได้ทัน


    หลักการพื้นฐานของการปฐมพยาบาลผู้ถูกงูกัด

    1. ตั้งสติและทำให้ผู้ป่วยสงบ
      การตื่นตกใจหรือเคลื่อนไหวมากจะทำให้พิษกระจายเร็วขึ้น ผู้ป่วยควรนั่งหรือนอนนิ่ง ๆ และพยายามหายใจช้า ๆ
    2. จำกัดการเคลื่อนไหวของอวัยวะที่ถูกกัด
      การเคลื่อนไหวจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนเร็วขึ้น จึงควรตรึงแขนหรือขาที่ถูกกัดให้อยู่นิ่งที่สุด
    3. ถอดเครื่องประดับและเสื้อผ้าที่รัดแน่น
      เช่น แหวน กำไล หรือรองเท้า เพราะอาการบวมอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    4. รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
      ไม่ว่าจะเป็นงูชนิดใด การพบแพทย์เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากการรักษาที่ได้ผลต้องอาศัยเซรุ่มแก้พิษงู

    ขั้นตอนการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง

    1. ทำให้ผู้ป่วยอยู่นิ่ง

    • จัดให้นอนราบหรือเอนสบาย
    • ลดการเคลื่อนไหวของร่างกายและอวัยวะที่ถูกกัด
    • หากถูกกัดที่ขาหรือแขน ควรดามให้นิ่งโดยใช้ไม้หรืออุปกรณ์ใกล้ตัว

    2. ทำความสะอาดแผล

    • ล้างแผลเบา ๆ ด้วยน้ำสะอาด
    • ห้ามใช้สารเคมีที่รุนแรง เช่น แอลกอฮอล์หรือไอโอดีน เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อระคายเคือง

    3. การพันกด (Pressure immobilization technique)

    • ใช้ผ้ายืดพันรอบบริเวณที่ถูกกัดโดยเริ่มจากเหนือแผลเล็กน้อย
    • พันให้แน่นพอสมควร แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เลือดไม่ไหล
    • วิธีนี้เหมาะกับงูที่มีพิษต่อระบบประสาท เช่น งูเห่า งูจงอาง และงูทะเล

    4. การจัดท่าผู้ป่วย

    • ให้อวัยวะที่ถูกกัดอยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ เพื่อชะลอการไหลเวียนของพิษ
    • หากถูกกัดที่ขา ควรให้นอนราบและยกขาให้นิ่ง
    • หลีกเลี่ยงการเดินหรือวิ่ง

    5. การบันทึกข้อมูล

    • จดจำเวลาที่ถูกกัดและเวลาที่เริ่มมีอาการ
    • หากมองเห็นงู ควรจำลักษณะ เช่น สี ลาย และขนาด แต่ไม่ควรพยายามจับหรือฆ่างูเพื่อนำมาแสดง

    สิ่งที่ไม่ควรทำโดยเด็ดขาด

    1. ห้ามกรีดแผลหรือคว้านพิษออก
      การกรีดแผลอาจทำให้เนื้อเยื่อบาดเจ็บมากขึ้นและเสี่ยงติดเชื้อ โดยไม่ได้ช่วยกำจัดพิษ
    2. ห้ามใช้ปากดูดพิษ
      พิษอาจเข้าสู่ร่างกายผู้ช่วยเหลือผ่านแผลเล็ก ๆ ในช่องปาก และไม่สามารถดูดพิษออกได้หมด
    3. ห้ามใช้สายรัดแน่นเกินไป
      การรัดจนเลือดไม่ไหลอาจทำให้เนื้อเยื่อตาย เพิ่มภาวะแทรกซ้อน
    4. ห้ามใช้น้ำแข็งหรือแช่ในน้ำเย็นจัด
      เพราะจะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นขาดเลือดและเสียหายมากขึ้น
    5. ห้ามดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
      เพราะจะกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและทำให้พิษกระจายเร็ว

    การสังเกตอาการหลังถูกงูกัด

    แม้ในระยะแรกผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการรุนแรง แต่พิษสามารถออกฤทธิ์ภายหลังได้ จึงต้องเฝ้าสังเกตอาการต่อเนื่อง

    • อาการเฉพาะที่: ปวด บวม แดง หรือมีรอยเขี้ยว
    • อาการระบบประสาท: หนังตาตก กลืนลำบาก พูดไม่ชัด หายใจลำบาก
    • อาการระบบเลือด: เลือดออกผิดปกติ ปัสสาวะเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล
    • อาการระบบไตและอวัยวะอื่น ๆ: ปัสสาวะน้อยลง สับสน หรืออ่อนเพลียผิดปกติ

    หากพบอาการเหล่านี้ควรรายงานให้แพทย์ทราบโดยเร็ว


    การช่วยเหลือระหว่างนำส่งโรงพยาบาล

    • จัดท่าผู้ป่วยให้นอนนิ่งในรถหรือเปล
    • หลีกเลี่ยงการเดินหรือเคลื่อนไหวเอง
    • ให้กำลังใจเพื่อลดความวิตกกังวล
    • หากผู้ป่วยเริ่มมีอาการหายใจลำบาก ควรเตรียมพร้อมทำการช่วยหายใจ (CPR) หากจำเป็น

    การเตรียมตัวของชุมชนและครอบครัว

    1. เรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง
      สมาชิกในครอบครัวหรือชุมชนควรผ่านการอบรมการช่วยเหลือเบื้องต้น
    2. จัดเตรียมอุปกรณ์
      เช่น ผ้ายืดสำหรับพันกด เปลสนาม และอุปกรณ์ส่องสว่าง
    3. สร้างช่องทางการติดต่อฉุกเฉิน
      จัดเตรียมเบอร์โทรของโรงพยาบาลและหน่วยกู้ชีพในพื้นที่
    4. ร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุข
      เพื่อให้แน่ใจว่ามีเซรุ่มแก้พิษงูเพียงพอในโรงพยาบาลใกล้เคียง

    Checklist การปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด

    เพื่อให้จดจำได้ง่าย นี่คือขั้นตอนสำคัญที่ควรปฏิบัติอย่างเป็นลำดับ

    สิ่งที่ควรทำ

    • ✅ ทำให้ผู้ป่วยสงบและอยู่นิ่ง
    • ✅ จัดท่าผู้ป่วยให้นอนราบ อวัยวะที่ถูกกัดต่ำกว่าหัวใจ
    • ✅ ถอดเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าที่รัดแน่น
    • ✅ ดามหรือพันกดด้วยผ้ายืดเพื่อลดการแพร่พิษ
    • ✅ ล้างแผลเบา ๆ ด้วยน้ำสะอาด
    • ✅ จดจำลักษณะงูเท่าที่ทำได้ โดยไม่เสี่ยงชีวิตเพิ่ม
    • ✅ รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

    สิ่งที่ห้ามทำ

    • ❌ ห้ามกรีดหรือคว้านแผล
    • ❌ ห้ามใช้ปากดูดพิษ
    • ❌ ห้ามใช้สายรัดจนเลือดไม่ไหล
    • ❌ ห้ามแช่แผลในน้ำแข็งหรือใช้น้ำเย็นจัด
    • ❌ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
    • ❌ ห้ามเดิน วิ่ง หรือเคลื่อนไหวมากเกินไป

    ข้อคิดสำคัญจากกรณีงูกัด

    1. เวลา = ชีวิต
      ทุกนาทีที่เสียไปกับการปฐมพยาบาลผิดวิธี อาจเพิ่มความเสี่ยงถึงชีวิตได้
    2. ความรู้คือเกราะป้องกัน
      หากมีความเข้าใจถูกต้อง การช่วยเหลือก็จะมีประสิทธิภาพสูงและลดผลกระทบได้มาก
    3. ชุมชนที่เข้มแข็งคือความปลอดภัยที่ยั่งยืน
      เมื่อครอบครัวและหมู่บ้านร่วมมือกัน มีการให้ความรู้และเตรียมพร้อม เครื่องมือและเซรุ่มจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

    ตัวอย่างสถานการณ์จริงของการถูกงูกัด

    เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองพิจารณาสถานการณ์สมมุติที่มักเกิดขึ้นบ่อยในชีวิตประจำวัน

    กรณีที่ 1: ชาวนาในชนบท

    นาย ก. เป็นเกษตรกรที่ทำงานในทุ่งนา ระหว่างเกี่ยวข้าว เขาถูกงูเห่ากัดที่ข้อเท้า หลังจากนั้นเริ่มมีอาการปวดและบวมขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงรีบช่วยเหลือตามหลักการที่ถูกต้อง โดยการทำให้นอนนิ่ง ๆ พันกดด้วยผ้ายืด แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง แพทย์จึงสามารถให้เซรุ่มแก้พิษได้ทัน ทำให้รอดชีวิตโดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

    กรณีที่ 2: นักท่องเที่ยวเดินป่า

    นางสาว ข. เดินป่าในพื้นที่เขตร้อนและถูกงูแมวเซากัดที่มือ เธอและเพื่อนพยายามกรีดแผลแล้วใช้ปากดูดพิษออกตามความเชื่อแบบผิด ๆ ผลลัพธ์คือทั้งเธอและเพื่อนต่างก็เสี่ยงติดเชื้อ ขณะที่พิษยังคงกระจายเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงโรงพยาบาลอาการค่อนข้างรุนแรง ต้องเข้าห้องฉุกเฉินด่วน กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่าการทำผิดขั้นตอนอาจสร้างอันตรายมากกว่าช่วยเหลือ


    แนวทางเสริมสำหรับผู้ช่วยเหลือ

    การปฐมพยาบาลผู้ถูกงูกัดไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ผู้ช่วยเหลือเองต้องเตรียมพร้อมและระมัดระวังเช่นกัน

    1. ความปลอดภัยมาก่อน
      ผู้ช่วยเหลือต้องแน่ใจว่าพื้นที่ปลอดภัย ไม่มีงูอยู่ใกล้ ก่อนจะเข้าไปช่วยผู้ป่วย
    2. ป้องกันการติดเชื้อ
      หากมีถุงมือหรืออุปกรณ์ป้องกัน ควรสวมใส่ก่อนสัมผัสแผล เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อทั้งกับผู้ป่วยและตัวผู้ช่วยเอง
    3. การใช้สื่อสารที่รวดเร็ว
      รีบโทรแจ้งโรงพยาบาลหรือหน่วยกู้ชีพ แจ้งข้อมูลเบื้องต้น เช่น เวลาที่ถูกกัด ลักษณะงู และอาการที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทีมแพทย์เตรียมการล่วงหน้า
    4. ให้กำลังใจผู้ป่วย
      ความวิตกกังวลและความกลัวสามารถทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ส่งผลให้พิษกระจายเร็ว การพูดให้กำลังใจและทำให้ผู้ป่วยสงบจึงเป็นสิ่งสำคัญ

    มุมมองเชิงสังคมและการป้องกันระยะยาว

    แม้ว่าการปฐมพยาบาลจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อเกิดเหตุ แต่การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น

    • การรักษาความสะอาดรอบบ้านและชุมชนเพื่อลดที่อยู่อาศัยของงู
    • การใช้รองเท้าบูทหรือกางเกงขายาวเมื่อต้องทำงานในพื้นที่เสี่ยง
    • การอบรมให้ความรู้เรื่องงูและพิษงูในโรงเรียนหรือกลุ่มชุมชน
    • การเตรียมเส้นทางการขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉินไปยังโรงพยาบาลที่มีเซรุ่ม

    บทสรุปเพิ่มเติม

    บทเรียนจากกรณีตัวอย่างและแนวทางปฏิบัติชี้ให้เห็นว่า การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตผู้ถูกงูกัด แต่ยังลดผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวได้อย่างมาก ในขณะเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจของผู้ช่วยเหลือและการเตรียมพร้อมของชุมชนก็เป็นกุญแจสำคัญ การรวมพลังของทั้งบุคคล ครอบครัว และสังคม จะทำให้การเผชิญหน้ากับงูมีความปลอดภัยและโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น

    Walter Turner

    Related Posts

    คู่มือครบถ้วนในการดูแลสุขภาพเท้าและ เล็บ เท้า

    September 12, 2025

    ปุ่ม เลื่อน นาฬิกาปลุก: ศัตรูตัวฉกาจที่ทำให้คุณติดกับดักการตื่นสาย

    September 8, 2025

    วิธีป้องกัน การติดเชื้อ หลังจากนำเสี้ยนออกสำเร็จ

    August 29, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.