การถูก งู กัดเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในชนบทและเมือง โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มีงูหลากหลายชนิด บางชนิดมีพิษที่ร้ายแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้องและทันท่วงที การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสามารถลดความรุนแรงของอาการ ชะลอการกระจายพิษ และเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยได้
ความสำคัญของการปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด

เมื่อพิษงูเข้าสู่ร่างกาย จะกระจายผ่านทางกระแสเลือดและระบบน้ำเหลืองไปทั่วร่างกาย ส่งผลต่อระบบประสาท ระบบเลือด และเนื้อเยื่อ อาการที่เกิดขึ้นอาจเริ่มจากอาการบวม ปวด หรือแดงเฉพาะที่ และพัฒนาไปสู่การหายใจลำบาก เลือดออกผิดปกติ หรือหมดสติได้ หากมีการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องในช่วงแรก จะสามารถยืดเวลาและช่วยให้แพทย์มีโอกาสรักษาได้ทัน
หลักการพื้นฐานของการปฐมพยาบาลผู้ถูกงูกัด
- ตั้งสติและทำให้ผู้ป่วยสงบ
การตื่นตกใจหรือเคลื่อนไหวมากจะทำให้พิษกระจายเร็วขึ้น ผู้ป่วยควรนั่งหรือนอนนิ่ง ๆ และพยายามหายใจช้า ๆ - จำกัดการเคลื่อนไหวของอวัยวะที่ถูกกัด
การเคลื่อนไหวจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนเร็วขึ้น จึงควรตรึงแขนหรือขาที่ถูกกัดให้อยู่นิ่งที่สุด - ถอดเครื่องประดับและเสื้อผ้าที่รัดแน่น
เช่น แหวน กำไล หรือรองเท้า เพราะอาการบวมอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นงูชนิดใด การพบแพทย์เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากการรักษาที่ได้ผลต้องอาศัยเซรุ่มแก้พิษงู
ขั้นตอนการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง
1. ทำให้ผู้ป่วยอยู่นิ่ง
- จัดให้นอนราบหรือเอนสบาย
- ลดการเคลื่อนไหวของร่างกายและอวัยวะที่ถูกกัด
- หากถูกกัดที่ขาหรือแขน ควรดามให้นิ่งโดยใช้ไม้หรืออุปกรณ์ใกล้ตัว
2. ทำความสะอาดแผล
- ล้างแผลเบา ๆ ด้วยน้ำสะอาด
- ห้ามใช้สารเคมีที่รุนแรง เช่น แอลกอฮอล์หรือไอโอดีน เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อระคายเคือง
3. การพันกด (Pressure immobilization technique)
- ใช้ผ้ายืดพันรอบบริเวณที่ถูกกัดโดยเริ่มจากเหนือแผลเล็กน้อย
- พันให้แน่นพอสมควร แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เลือดไม่ไหล
- วิธีนี้เหมาะกับงูที่มีพิษต่อระบบประสาท เช่น งูเห่า งูจงอาง และงูทะเล
4. การจัดท่าผู้ป่วย
- ให้อวัยวะที่ถูกกัดอยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ เพื่อชะลอการไหลเวียนของพิษ
- หากถูกกัดที่ขา ควรให้นอนราบและยกขาให้นิ่ง
- หลีกเลี่ยงการเดินหรือวิ่ง
5. การบันทึกข้อมูล
- จดจำเวลาที่ถูกกัดและเวลาที่เริ่มมีอาการ
- หากมองเห็นงู ควรจำลักษณะ เช่น สี ลาย และขนาด แต่ไม่ควรพยายามจับหรือฆ่างูเพื่อนำมาแสดง
สิ่งที่ไม่ควรทำโดยเด็ดขาด
- ห้ามกรีดแผลหรือคว้านพิษออก
การกรีดแผลอาจทำให้เนื้อเยื่อบาดเจ็บมากขึ้นและเสี่ยงติดเชื้อ โดยไม่ได้ช่วยกำจัดพิษ - ห้ามใช้ปากดูดพิษ
พิษอาจเข้าสู่ร่างกายผู้ช่วยเหลือผ่านแผลเล็ก ๆ ในช่องปาก และไม่สามารถดูดพิษออกได้หมด - ห้ามใช้สายรัดแน่นเกินไป
การรัดจนเลือดไม่ไหลอาจทำให้เนื้อเยื่อตาย เพิ่มภาวะแทรกซ้อน - ห้ามใช้น้ำแข็งหรือแช่ในน้ำเย็นจัด
เพราะจะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นขาดเลือดและเสียหายมากขึ้น - ห้ามดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
เพราะจะกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและทำให้พิษกระจายเร็ว
การสังเกตอาการหลังถูกงูกัด
แม้ในระยะแรกผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการรุนแรง แต่พิษสามารถออกฤทธิ์ภายหลังได้ จึงต้องเฝ้าสังเกตอาการต่อเนื่อง
- อาการเฉพาะที่: ปวด บวม แดง หรือมีรอยเขี้ยว
- อาการระบบประสาท: หนังตาตก กลืนลำบาก พูดไม่ชัด หายใจลำบาก
- อาการระบบเลือด: เลือดออกผิดปกติ ปัสสาวะเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล
- อาการระบบไตและอวัยวะอื่น ๆ: ปัสสาวะน้อยลง สับสน หรืออ่อนเพลียผิดปกติ
หากพบอาการเหล่านี้ควรรายงานให้แพทย์ทราบโดยเร็ว
การช่วยเหลือระหว่างนำส่งโรงพยาบาล
- จัดท่าผู้ป่วยให้นอนนิ่งในรถหรือเปล
- หลีกเลี่ยงการเดินหรือเคลื่อนไหวเอง
- ให้กำลังใจเพื่อลดความวิตกกังวล
- หากผู้ป่วยเริ่มมีอาการหายใจลำบาก ควรเตรียมพร้อมทำการช่วยหายใจ (CPR) หากจำเป็น
การเตรียมตัวของชุมชนและครอบครัว
- เรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง
สมาชิกในครอบครัวหรือชุมชนควรผ่านการอบรมการช่วยเหลือเบื้องต้น - จัดเตรียมอุปกรณ์
เช่น ผ้ายืดสำหรับพันกด เปลสนาม และอุปกรณ์ส่องสว่าง - สร้างช่องทางการติดต่อฉุกเฉิน
จัดเตรียมเบอร์โทรของโรงพยาบาลและหน่วยกู้ชีพในพื้นที่ - ร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุข
เพื่อให้แน่ใจว่ามีเซรุ่มแก้พิษงูเพียงพอในโรงพยาบาลใกล้เคียง
Checklist การปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด
เพื่อให้จดจำได้ง่าย นี่คือขั้นตอนสำคัญที่ควรปฏิบัติอย่างเป็นลำดับ
สิ่งที่ควรทำ
- ✅ ทำให้ผู้ป่วยสงบและอยู่นิ่ง
- ✅ จัดท่าผู้ป่วยให้นอนราบ อวัยวะที่ถูกกัดต่ำกว่าหัวใจ
- ✅ ถอดเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าที่รัดแน่น
- ✅ ดามหรือพันกดด้วยผ้ายืดเพื่อลดการแพร่พิษ
- ✅ ล้างแผลเบา ๆ ด้วยน้ำสะอาด
- ✅ จดจำลักษณะงูเท่าที่ทำได้ โดยไม่เสี่ยงชีวิตเพิ่ม
- ✅ รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
สิ่งที่ห้ามทำ
- ❌ ห้ามกรีดหรือคว้านแผล
- ❌ ห้ามใช้ปากดูดพิษ
- ❌ ห้ามใช้สายรัดจนเลือดไม่ไหล
- ❌ ห้ามแช่แผลในน้ำแข็งหรือใช้น้ำเย็นจัด
- ❌ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
- ❌ ห้ามเดิน วิ่ง หรือเคลื่อนไหวมากเกินไป
ข้อคิดสำคัญจากกรณีงูกัด
- เวลา = ชีวิต
ทุกนาทีที่เสียไปกับการปฐมพยาบาลผิดวิธี อาจเพิ่มความเสี่ยงถึงชีวิตได้ - ความรู้คือเกราะป้องกัน
หากมีความเข้าใจถูกต้อง การช่วยเหลือก็จะมีประสิทธิภาพสูงและลดผลกระทบได้มาก - ชุมชนที่เข้มแข็งคือความปลอดภัยที่ยั่งยืน
เมื่อครอบครัวและหมู่บ้านร่วมมือกัน มีการให้ความรู้และเตรียมพร้อม เครื่องมือและเซรุ่มจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างสถานการณ์จริงของการถูกงูกัด
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองพิจารณาสถานการณ์สมมุติที่มักเกิดขึ้นบ่อยในชีวิตประจำวัน
กรณีที่ 1: ชาวนาในชนบท
นาย ก. เป็นเกษตรกรที่ทำงานในทุ่งนา ระหว่างเกี่ยวข้าว เขาถูกงูเห่ากัดที่ข้อเท้า หลังจากนั้นเริ่มมีอาการปวดและบวมขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงรีบช่วยเหลือตามหลักการที่ถูกต้อง โดยการทำให้นอนนิ่ง ๆ พันกดด้วยผ้ายืด แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง แพทย์จึงสามารถให้เซรุ่มแก้พิษได้ทัน ทำให้รอดชีวิตโดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
กรณีที่ 2: นักท่องเที่ยวเดินป่า
นางสาว ข. เดินป่าในพื้นที่เขตร้อนและถูกงูแมวเซากัดที่มือ เธอและเพื่อนพยายามกรีดแผลแล้วใช้ปากดูดพิษออกตามความเชื่อแบบผิด ๆ ผลลัพธ์คือทั้งเธอและเพื่อนต่างก็เสี่ยงติดเชื้อ ขณะที่พิษยังคงกระจายเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงโรงพยาบาลอาการค่อนข้างรุนแรง ต้องเข้าห้องฉุกเฉินด่วน กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่าการทำผิดขั้นตอนอาจสร้างอันตรายมากกว่าช่วยเหลือ
แนวทางเสริมสำหรับผู้ช่วยเหลือ
การปฐมพยาบาลผู้ถูกงูกัดไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ผู้ช่วยเหลือเองต้องเตรียมพร้อมและระมัดระวังเช่นกัน
- ความปลอดภัยมาก่อน
ผู้ช่วยเหลือต้องแน่ใจว่าพื้นที่ปลอดภัย ไม่มีงูอยู่ใกล้ ก่อนจะเข้าไปช่วยผู้ป่วย - ป้องกันการติดเชื้อ
หากมีถุงมือหรืออุปกรณ์ป้องกัน ควรสวมใส่ก่อนสัมผัสแผล เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อทั้งกับผู้ป่วยและตัวผู้ช่วยเอง - การใช้สื่อสารที่รวดเร็ว
รีบโทรแจ้งโรงพยาบาลหรือหน่วยกู้ชีพ แจ้งข้อมูลเบื้องต้น เช่น เวลาที่ถูกกัด ลักษณะงู และอาการที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทีมแพทย์เตรียมการล่วงหน้า - ให้กำลังใจผู้ป่วย
ความวิตกกังวลและความกลัวสามารถทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ส่งผลให้พิษกระจายเร็ว การพูดให้กำลังใจและทำให้ผู้ป่วยสงบจึงเป็นสิ่งสำคัญ
มุมมองเชิงสังคมและการป้องกันระยะยาว
แม้ว่าการปฐมพยาบาลจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อเกิดเหตุ แต่การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น
- การรักษาความสะอาดรอบบ้านและชุมชนเพื่อลดที่อยู่อาศัยของงู
- การใช้รองเท้าบูทหรือกางเกงขายาวเมื่อต้องทำงานในพื้นที่เสี่ยง
- การอบรมให้ความรู้เรื่องงูและพิษงูในโรงเรียนหรือกลุ่มชุมชน
- การเตรียมเส้นทางการขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉินไปยังโรงพยาบาลที่มีเซรุ่ม
บทสรุปเพิ่มเติม
บทเรียนจากกรณีตัวอย่างและแนวทางปฏิบัติชี้ให้เห็นว่า การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตผู้ถูกงูกัด แต่ยังลดผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวได้อย่างมาก ในขณะเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจของผู้ช่วยเหลือและการเตรียมพร้อมของชุมชนก็เป็นกุญแจสำคัญ การรวมพลังของทั้งบุคคล ครอบครัว และสังคม จะทำให้การเผชิญหน้ากับงูมีความปลอดภัยและโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น